วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

หัวหอกแห่งกราฟิกยุคโมเดริน Pual Rand




















คุณเคยเห็นโลโก้ดังๆ อย่าง IBM หรือ ABC มั้ย?

โลโก้พวกนี้นับเรียกได้ว่าเป็นงานกราฟิกในยุคแรกๆ
ของงานออกแบบเลยทีเดียว

แล้วคนที่สร้างโลโก้พวกนี้ขึ้นมาล่ะ?
เค้าชื่อว่า Pual Rand นักออกแบบชาวสหรัฐฯ

เนื่องจากหลังจากที่จัดการกับไฟล์ต่างๆในคอมตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง
ก็ได้เหลือบไปเจอแฟ้มที่ชื่อ Pual Rand ซึ่งเป็นงานให้หาประวัตินักออกแบบ
มานำเสนอ แล้วผมก็ได้หน้าที่หาประวัติของ Pual Rand

พูดตรงๆว่านักออกแบบคนนี้นับว่าเป็นนักออกแบบต่างประเทศ
ที่ผมรู้จักคนแรกๆ และผมเห็นว่าเป็นน่าจะเป็นสิ่งที่ดีถ้าเพื่อนๆ
จะทำความรู้จักกับเค้าให้มากขึ้น

พอล แรนด์ นับได้ว่าเป็นศิลปินกลุ่ม โมเดิร์นริซึ่ม
ที่อยู่ในระหว่างยุคสมัยของการออกแบบเชิงทดลอง
และช่วยสร้างรากฐานอาชีพนักออกแบบให้มั่นคง
หนังสือ Thoughts on Design ของ แรนด์ ที่เขียนในปี 1947 ได้ยกบทบาทของนักออกแบบให้มีค่าเทียบเท่ากับศิลปะอย่างหนึ่ง และเสนอว่าศิลปะและการออกแบบต่างใช้ภาษาร่วมกัน ดังนั้นการประยุกต์ทฤษฏีของศิลปะก็สามารถมาใช้กับการออกแบบร่วมกันได้

เขามีผลงานการออกแบบโปสเตอร์โฆษณาและโลโก้มามายให้แก่บริษัทต่างๆ
รวมไปถึงบริษัท IBM (บริษัทที่ทำธรุกิจด้านคอมพิวเตอร์ในอเมริกา),
UPS (บริษัทที่ทำธรุกิจด้านพัสดุ)และ ABC (สถานีโทรทัศน์และวิทยุ)














พอล แรนด์ เป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มใช้สไตล์การออกแบบที่เรียกว่า Swiss Style
คือสไตล์ของภาพสะอาดตา คำนึงถึงทักษะการอ่านและเหตุผล เป็นรูปแบบที่แสดงความเด่นชัดของการจัดองค์ประกอบแบบไม่สมมาตร(Asymmetric lay-outs) มีการใช้ตาราง (Grid) และ Sanserif (ส่วนที่ยื่นออกมาจากตัวอักษร) เป็นสไตล์ที่ให้ความสำคัญ Typography (การพิมพ์) รวมไปถึงการผสมผสานการออกแบบโดยการใช้รูปถ่าย (Photography) ภาพประกอบ(Illustrate) และรูปวาด (Drawing) ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่แสดงความเป็นสวิสสไตล์














































































































งานของ พอล แรนด์ เป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมชอบงานกราฟิกมากกว่าที่เป็นอยู่
และคิดว่ามันน่าจะเกิดขึ้นกับเพื่อนๆด้วย
ถ้าได้เห็นและรู้จักกับงานของ พอล เเรนด์




อ้างอิง -หนังสือ Paul Rand ของSteven Heller

เหยื่อ!! ของงานออกแบบ

มีหัวข้อสนทนาระหว่างผมกับเพื่อนที่คิดมันน่าสนใจอยู่เรื่องหนึ่ง
ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดหลังจากผมและเพื่อนออกไปเดินเที่ยวที่ฟิวเจอร์ปารค

หลังจากที่เราเดินไปหาสิ่งของจำเป็นในการทำงานจนเริ่มคอแห้ง
ก็เหลือบไปเห็นร้านๆหนึ่งสะดุดตา นั่นคือร้าขายน้ำแข็งใสที่ชื่อว่า
"Ice Monster" ซึ่งเป็นร้านที่พวกผมไม่เคยเห็นกันมาก่อน
แต่ด้วยความแก่กล้าวิชา หลังจากเรียนเรื่อง Coperate Identity
มาหมาดๆ ผมและเพื่อนๆจึงได้คุยกันเเละเห็นพ้องว่า Ice Monster
เป็นร้านที่มีลักษณะน่าสนใจและต้องผ่านการดีไซน์มาแน่นอน


ด้วยความกระหายรวมกับทัศนคติเชิงบวกที่มีต่อการออกแบบของร้าน
"เน็ท" เพื่อนผม จึงได้ตัดสินใจดับกระหายด้วยสินค้าร้านนี้

หลังจากเลือกเมนูที่ดูน่ากินบนป้ายเมนูที่ดูสวยงามอยู่สักพัก จึงสั่งมากิน

สิ่งที่เราพบกลับเป็น "น้ำแข็งใสรถเข็นที่มีผลไม้โปะหน้า"
ในราคา 50 กว่าบาท แถมให้น้อยอีกต่างหาก

โอ้แม่จ้าว!?

หลังจากกินแล้วเราได้พบว่านี่มันไม่ได้ต่างไปจาก น้ำแข็งใสที่มีขายทั่วไป
ตามท้องถนนเลยซักนิด ต่างเพียงนี่มีผลไม้แถมให้ด้วยเท่านั้น!!

หลังจากตัดพ้อกันว่า ทำไมกูต้องมาเสียเงินแพงๆให้กับของแบบนี้?

เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า "เรามันเป็นเหยื่อของงานดีไซน์เข้าแล้ว"

จากของที่ไม่ได้มีรสชาติีอะไรแตกต่างทำไมถึงขายได้?

เราจึงเริ่มมาถกเถียงกันว่าเหตุผลที่เราเลือกซื้อตอนแรกมันคืออะไร?

มันคือความน่าสนใจโดยภาพรวมของร้านและ
ความสวยงามของ Packaging

นั่นหมายความว่าผลของการออกแบบที่ดี
กลับกลายเป็นการทำลายผู้บริโภคอย่างเราใช่มั้ย?

ถ้าลองมาคิดกันดูแล้วกรณีแบบนี้ก็มีเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิตผม
ครั้งหนึ่งผมเคยเลือกที่จะกินขนมจากร้านข้างโรงเรียนที่มีดีไซน์สวยงาม
มากกว่าขนมจากร้านแถวบ้านที่แม่บอกว่าอร่อยนักหนา

ทั้งๆที่รสชาติร้านแถวบ้านมันก็อร่อยกว่าจริงๆ?

แต่ผมกลับรูสึกว่าการที่เราได้กินขนมพร้อมถือกล่องสวยๆ มันเจ๋งกว่า
กินขนมที่ไม่มียี่ห้อตั้งเยอะ แม้จะไม่อร่อยมากนักแต่ก็พอกินได้ก็ไม่ขัดแล้ว

เหตุการณ์แบบนี้เคยเจอกันรึเปล่าครับ?

ซึ่งเมื่อก่อนก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอมีเจอเหตุการณ์ของเพื่อนครั้งนี้
มันทำำให้ฉุกคิดได้ว่า งานออกแบบ มันมีผลต่อชีวิตประจำวันของเราเหลือเกิน

มีอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นสดๆร้อนๆ เมื่อวันที่ไปทำงานศึกษา
สภาพแวดล้อมกับการออกแบบที่ Paragon กับ ฟานเชสโก้ และ เน็ท
เนื่องจากความเหนื่อยจากการเดินทาง ขากลับเราจึงเลือก
ที่จะกลับรถไฟฟ้า พอซื้อบัตรแล้วก็รีบขึ้นไปรอรถทันทีเพราะได้ยินเสียงรถ
หลังจากที่ผม กับ เน็ท ได้เข้ารถกันอย่างเฉียดฉิวก็ได้นั่งรถและพูดคุย
ถึงเรื่องที่ได้เจอมาทั้งวันอย่างสนุกสนานและออกรส แต่พอเวลาผ่านไป
ก็ได้ดูป้ายของสถานีที่อยู่ด้านในรถว่าถึงจุดหมายรึยัง ปรากฏว่า...

เรานั่งผิดทาง!! แถมนั้งมาเกือบสุดสายแล้วอีกต่างหาก

จริงอยู่ที่เราอาจจะสะเพร่าไม่ดูให้ดี แต่ทำไมมันไม่ทำป้ายบอกว่าจะทางไหน
อยู่ในรถไฟฟ้าด้วยวะ? เพราะถ้ามีเราคงจะรู้ตัวกันไปตั้งแต่ปีมะโว้แล้วว


ถึงแม้มันจะเป็นจุดเล็กๆน้อยๆ แต่ผมเชื่อเลยว่าจะต้องมีคนที่เคยประสบปัญหา
แบบพวกผมแน่ๆ

นี่เป็นความผิดเกี่ยวกับการออกแบบใช่หรือไม่? มันอาจจะเป็นความรู้สึกส่วนตัว
แต่ก็ทำให้คิดได้ว่า การออกแบบที่จัดการข้อมูลได้ไม่ดี
ก่อให้เกิดปัญหากับผู้บริโภคได้ ซึ่งมันก็สนับสนุนเนื้อหาข้างต้น

การออกแบบและการจัดการข้อมูล อาจสามารถบิดเบือนคุณค่าแท้จริงของสินค้า
ไป แต่ส่วนใหญ่มันกลับเป็นสิ่งที่เราเลือกจะยอมรับมันซะอีกด้วยซ้ำ

นั่นแสดงให้เห็นว่าเราเลือกความสำคัญของภาพพจน์ที่ใช้ของที่ดูดี
ถ้าสินค้าไม่ได้เลวร้ายจนเกินไป ก็พร้อมจะจ่ายเงินในราคาแพง
กว่าคุณค่าจริงๆของมัน ที่อาจจะไม่ได้ดีเด่อะไร

นั่นแปลว่าเราหลายๆคนต่างเป็น "เหยื่อ" ของงานออกแบบไปโดยไม่รู้ตัว


คุณคิดแบบนั้นมั้ยครับ?







ขอขอบคุณ
- คุณ ฉัตรณรงค์ จริงศุภธาดา ที่ร่วมกันในการถกปัญหา
- คุณ วริท ไชยกูล (ฟานเชสโก้) ที่ไปเดินด้วยกันที่พารากอน แม้ทีหลังจะแยกตัวไปหาความสุขคนเดียว
- อาจาร วี วีรพร สำหรับแนวคิดเรื่องเหยื่อของการออกแบบที่บอกผ่านฉัตรณรงค์มาอีกที

วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

Modern and Postmodern

หลังจากที่ศึกษาเรื่อง Graphic Design ในยุค Postmodern
ก็ได้ตั้งข้อสังเกตุเรื่องหนึ่งคือ

Modern และ Postmodern ต่างกันยังไง?

เมื่อลองมาวิเคราะห์กันดูแล้วก็ได้ความต่างบางอย่างที่ค่อนข้างชัดเจน คือ

งานในสมัย Modern ค่อนข้างจะเป็นงานที่สร้างสรรค์ออกมา
เพื่อให้เป็นศิลปะ ซะส่วนใหญ่ ส่วนในสมัย Postmodern นั้น
งานที่สร้างออกมามักจะมีจุดมุ่งหมายไปในเรื่องของการค้า
เป็นสำคัญ

เนื่องจากยุค Postmodern เป็นยุคที่เทคโนโลยีกำลังพัฒนา
การนำเอางานออกแบบ มาใช้ในการประชาสัมพันธ์มีมากขึ้น
ดังนั้นนี่จึงเป็นอีกหนึ่งความต่างระหว่าง Modern และ Postmodern



อ้างอิง
- A History of Graphic Design, Philio B.Meggs